วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ศิลปะบำบัด

ศิลปะบำบัด


สวัสดีเพื่อนๆทุกคนมาพบกันอีกครั้ง คราวนี้จะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะ อีกแขนงหนึ่ง ที่เรากำลังสนใจมากๆในขณะนี้ ก่อนอื่นบอกก่อนเลยว่าที่บ้านของเรานั้นเปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือที่เรียกกันว่า (เนอร์สเซอรี่) Nursery  มีเด็กจำนวนนึงมีความผิดปกติเรื่องพัฒนาการ หรือที่เรียกว่าสมาธิสั้น นี่คือที่มาที่ทำให้เราได้รู้จักกับศิลปะแขนงนี้

ตอนนี้เรากำลังทำการศึกษาเรื่อง "ศิลปะบำบัด" เพราะเราเริ่มเห็นพัฒนากาคที่ดีขึ้นของน้องใบบัวอายุ 4 ปี หนึ่งในกลุ่มเด็กสมาธิสั้น ศิลปะบำบัดช่วยให้น้องๆเด็กๆที่เนอร์สเซอรี่ ให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ก่อนหน้านี้น้องใบบัว ไม่สามารถร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆได้ ร้องให้งอแง ตลอดเวลา

จริงๆแล้วที่เนอร์สรี่ของเรานั้นไม่มีพี่เลี้ยงหรือเจ้าหน้าที่จบด้านนักศิลปะบำบัดมานะ แต่เพื่อนเราที่จบด้านศิลปะมาเป็นคนแนะนำให้เอาศิลปะมาบำบัดน้องกลุ่มนี้ดู และ เพื่อนเราก็อาสามาเป็น ครูสอน ศิลปะบำบัด ให้ที่เนอร์สเซอรี่ เป็นการทดลองสอนดู เพราะเพื่อนเรามันจะไปเรียนต่อ ด้าน ศิลปะบำบัด โดยตรง

       
                                 น้องใบบัวกับเพื่อนของเราที่เป็นครูอาสาช่วยบำบัด

       
                                                  ผลงานน้องใบบัว อายุ 4 ปี
 

        
                                       ทำกิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการกับน้องๆ

       

         

                                   

       

        
                      กิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการและพัฒนากล้ามเนื้อในน้องๆ 2-3 ปี


 
พูดเรื่องน้องๆในความดูแลที่เนอร์สเซอรี่เรามาก็เยอะแล้วมาทำความรู้จักศิลปะบำบัดจากนักวิชาการกันบ้างดีกว่า......

ก่อนอื่นเราอยากจะพูดถึงข้อมูลความเป็นมาของ ศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง "ศิลปะบำบัด" โดยเราขออนุญาตอ้างอิง บทความจาก อาจารย์ อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี ท่านเป็นทั้งจิตรกร และ นักศิลปะบำบัด ที่มีชื่อเสียง และ ยังเป็นศิลปินที่เราชื่นชอบอีกด้วย.....
//
//
//....เริ่มกันเลย....


ศิลปะบำบัด : ความเข้าใจที่ถ่องแท้ สู่การเยียวยาที่แท้จริง
โดย อาจารย์อนุพันธุ์  พฤกษ์พันธ์ขจี 
จิตรกรและนักศิลปะบำบัด โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์
            “ศิลปะบำบัด” ถูกหยิบยกเป็นหัวข้อทางวิชาการในวงการแพทย์  การศึกษา  ตลอดจนการบำบัดเยียวยา  ต่อเนื่องกันตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา  งานวิชาการศิลปะบำบัด โดยเฉพาะกระแสหลัก (Mainstream) ที่กล่าวขานกันอยู่ในทุกวันนี้  ก็เป็นเพียงแค่การอธิบายศิลปะบำบัดบนพื้นฐานของจิตวิทยา  และบางครั้งก็ถูกเชื่อมโยงจากมุมมอง
วิทยาศาสตร์  จิตวิเคราะห์  หรือแม้แต่การแพทย์เองก็ตาม
หากทว่า บทความนี้จะขอนำเสนอศิลปะบำบัดบนพื้นฐานศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ (Anthroposophy : Spiritual Science) ที่อธิบายศิลปะบำบัดบนความรู้ที่เป็นองค์รวมของ ศิลปะ  การแพทย์  การบำบัด  การศึกษา  ความเข้าใจ
การหยั่งรู้ในความเป็นมาของมนุษย์  รวมถึง จิตวิญญาณ  ที่หลอมรวมศาสตร์เป็นหนึ่งเดียว
             ลองย้อนกลับไปมองเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว (พ.ศ. 2450 – 2467 : ค.ศ. 1907 – 1924)  ยุคนั้นเป็นยุคทองของศาสตร์ทางจิตวิทยา  และนักคิดทางจิตวิทยาหลายคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วยุโรป  แต่ขณะเดียวกันยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่มีความคิดก้าวล้ำและไม่ได้มองจิตมนุษย์ในเชิงวิทยาศาสตร์ แนวความคิดในเชิงอภิปรัชญา (Anthroposophy) ของเขาค่อยปรากฏขึ้นในยุโรป  และแผ่กว้างไปในอเมริกา  เอเชีย  ความเข้าใจมนุษย์ทั้งจากร่างกาย  จิตใจ  และจิตวิญญาณ  ส่งผลให้ชื่อเสียงของนักปรัชญา-นักฟิสิกส์ นามอุโฆษ  ดร. รูดอล์ฟ  สไตเนอร์ (Dr. Rudolf Steiner : ค.ศ. 1861 – 1925)เป็นที่ปรากฏขึ้นในโลก  อาจมีคำถามว่า  แล้วศิลปะบำบัดเกี่ยวข้องอย่างไรกับปรัชญาที่ว่านี้เล่า  อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า สไตเนอร์เป็นนักคิด-นักปรัชญา ที่ไม่ได้แยกศาสตร์ต่าง ๆ ออกเป็นส่วนๆ  สไตเนอร์กล่าวถึงความสัมพันธ์ของศิลปะกับจิตวิญญาณของมนุษย์  พูดถึงสีที่มีผลต่อสภาพจิตใจ (See and Sense)  โดยเฉพาะเรื่องสีนั้น สไตเนอร์ค้นคว้าทางวิชาการและเป็นผู้เรียบเรียงผลงานทฤษฎีสีของเกอเธ่ (Goethe, Colour Theory)  อีกทั้ง สไตเนอร์ยังได้เชื่อมโยงองค์ความรู้  ทั้งการ แพทย์องค์รวม  การพัฒนาการของเด็ก  การศึกษาที่มีชีวิต  การบำบัด  ฯลฯ  ให้เป็นหนึ่งเดียว
             ดังนี้แล้ว ศิลปะบำบัดในมุมมองของมนุษยปรัชญา จึงอรรถาธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวของมัน  ทั้งยังก้าวล้ำไปอย่างลึกซึ้งในเรื่องสีบำบัด (Colour Therapy) ซึ่งบรรดาลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงานของสไตเนอร์ที่มีส่วนช่วยให้ศิลปะบำบัดชัดเจนขึ้น ก็คือ  แพทย์หญิงที่มีชื่อว่า  อีธา  เวกมันน์ (Dr. med. Ita Wegmann)  คลินิกของเธอรวมทั้งห้องบำบัดอยู่ในเมือง Arlesheim  ใกล้กรุงบาเซิล (Basel)  สวิตเซอร์แลนด์ ราว ค.ศ. 1921 นี่คือจุดเริ่มต้นของศิลปะบำบัด
ในยุโรปเช่นกัน


...ศิลปะกับมนุษย์
แนวความคิดมนุษยปรัชญา เชื่อว่า ศิลปะมีสัมพันธ์แนบแน่นกับดวงจิตมนุษย์มาอย่างช้านาน  ในสมัยโบราณศิลปะหลอมรวมกับศาสนาอย่างแน่นแฟ้น ศิลปะเป็นดั่งสายรุ้งเชื่อมโยงมนุษย์กับโลกเบื้องบน (โลกแห่งจิตวิญญาณ)  ถ้าเราได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ ก็จะพบว่า ศิลปินยุคสมัยหนึ่ง (ก่อนยุคเรอนาซอง – Renaissance) ทำงานอุทิศแด่ศาสนา  รังสรรค์ผลงานศิลปะ ทั้งจิตรกรรม และ ประติมากรรม ในโบสถ์ วิหาร และศาสนสถานมากมายในประเทศรัสเซียมีงานศิลปะรูปพระแม่มารี และพระเยซู  โดยศิลปินเหล่านั้นไม่เคยจารึกนามบนชิ้นงานศิลปะเหล่านั้นเลย  ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในยุโรป  แต่ยังรวมถึงฟากฝั่งโลกตะวันออกของเราอีกด้วย  เฉกเช่นผลงานพุทธศิลป์ในอดีตมากมายในประเทศของเรารวมถึงชมพูทวีป  ก็ไม่ปรากฏว่ามีการจารึกนามของเจ้าของผลงานด้วยเช่นกัน  ที่สำคัญกว่านั้น เด็กทุกคนซึ่งได้เกิดขึ้นในโลกนี้  การวาดภาพกลายเป็นธรรมชาติภายในที่ทำให้พวกเราตระหนักถึงข้อความข้างต้นเป็นอย่างดี  ว่ากันที่จริงแล้ว ก็ละม้ายคล้ายกับจิตใจอันบริสุทธิ์ในการวาดภาพของเด็ก  ซึ่งมีนัยยะความสัมพันธ์
ระหว่างดวงจิตของมนุษย์กับศิลปะ นั่นเอง



...จากศิลปะ สู่ ศิลปะบำบัด
ดังที่กล่าวมา  มนุษยปรัชญา (Anthroposophy) มีรากฐานของความเข้าใจมนุษย์ทั้งสามส่วนหลัก คือ  ความคิด (Thinking)  ความรู้สึก (Feeling)  และ เจตจำนง (Willing)  องค์ประกอบทั้งสามนี้จะปฏิสัมพันธ์อย่างสมดุลย์ตามช่วงเวลาการเติบโต  และหากบุคคลหนึ่งบุคคลใดเกิดภาวะเจ็บป่วย ทั้งโรคทางกายหรือโรคทางใจ  ไม่ว่าจะเพศหรือวัยใด  สามสิ่งข้างต้นก็จะสูญเสียความสมดุลย์  ซึ่งจะส่งผลต่อ ทางกาย (กระบวนการเผาผลาญร่างกาย)  ทางใจ
(ระบบหมุนเวียนของโลหิตและการทำงานของหัวใจ) ทางความคิด (ระบบประสาท และการทำงานของสมอง)
การบำบัด (Therapy) โดยใช้คิลปะ จึงเป็นการกระทำจากภายนอกร่างกายเข้าไปหลอมรวมสู่ภายใน  เพื่อสร้างสมดุลย์ หรือขจัดภาวะติดขัด  การถูกกดภายใน ให้หลุดหรือคลายออก  โดยผู้รับการบำบัดจะปฏิบัติโดยรับประสบการณ์
จากภายนอกเข้าไปไว้ในตัว  แล้วเกิดการสร้างสรรค์จากภายใน  เพื่อถ่ายทอดอีกครั้ง
ที่ได้กล่าวมา  จะเห็นได้ว่า พื้นฐานความคิดนี้ แตกต่างจากความเข้าใจศิลปะบำบัดในกระแสหลักทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างมาก  ด้วยเหตุว่า ศิลปะบำบัดแนวทางมนุษยปรัชญาให้ความสำคัญทั้งการรับความรู้สึก (Impress)  และ แสดง
ความรู้สึก (Express)  เหมือนกับจังหวะของลมหายใจเข้าและลมหายใจออก


...ศิลปะบำบัดบนพื้นฐานมนุษยปรัชญา
แน่นอนละว่า  ศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญาย่อมนำศิลปะทั้งเจ็ดแขนงมาแยกย่อยเป็นศาสตร์บำบัดต่าง ๆ อันได้แก่  สถาปัตยกรรม  การปั้นบำบัด (Clay Therapy)  การวาดบำบัด (Painting Therapy)  ดนตรีบำบัด (Music Therapy)  อรรถบำบัด (Speech Therapy)  ยูริธมีบำบัด (การเคลื่อนไหว – Eurythmy Therapy)  และละครบำบัด (Drama Therapy)  โดยมีศาสตร์รองรับในแต่ละแขนงว่ามีเหตุผลต่อการบำบัดในสภาวะต่างๆ ของผู้เสียสมดุลย์ ทั้งร่างกาย  จิต  และจิตวิญญาณ  คำกล่าวหนึ่งที่น่าสนใจ กล่าวไว้ว่า  ศิลปะ ก็เป็นดั่งยารักษาจิตใจ  ดังนั้น นักศิลปะบำบัด ก็ควรตระหนักและไตร่ตรองต่อการให้ยาขนานนี้  ใช่ว่าเด็กทุกคนจะต้องวาดภาพ  และใช่ว่าเด็กทุกคนต้องรับการปั้น  Element ทางศิลปะ (เส้น  สี  รูปทรง  พื้นที่ว่าง  ฯลฯ) มีผลต่อการบำบัดทุกห้วงอณู  ตัวอย่างเช่น ถ้านักบำบัดไม่รู้ว่าผู้เข้ารับการบำบัดรายนี้ไม่ควรระบายสีแดง (Crimson)  อันเนื่องจากอิทธิพลของสีนี้ส่งผลและทำให้โรคภายในตัวของเขาเร่งเร้าขึ้น มีอาการสำแดงชัดขึ้น  ยาขนานนี้ก็จะเป็นดาบอีกคมโดยไม่รู้ตัวกระบวนการที่แตกต่างของศิลปะบำบัด และ การศึกษาบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาโดยปกติ ในกระบวนการบำบัด  นักศิลปะบำบัด (Art Therapist) ทั้งเจ็ดแขนงจำต้องศึกษาประวัติผู้เข้ารับการบำบัดอย่างละเอียดจากแพทย์  ครอบครัว  ครู  (ในกรณีที่ผู้รับการบำบัดเป็นเด็ก)  และขั้นตอนที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ให้เวลากับตนเองประมาณสามสัปดาห์ในการเฝ้าดูความเป็นไปของผู้รับการบำบัด เพื่อผลการวินิจฉัยการทำงานบำบัดของตนเอง  ว่าจะ ‘เลือก’ สิ่งใดไป ‘บำบัด’ และ ‘เปลี่ยนแปลง’ ภายในของผู้รับการบำบัด  โดยมีเหตุผลที่ชัดเจนต่อความเจ็บป่วยนั้น นั่นหมายถึงการบำบัดต้องมีเป้าหมายที่แจ่มชัดต่อทุกขั้นตอนในกระบวนการนั้น ตั้งแต่การเลือกสรร ใช้วัสดุอุปกรณ์  บทเรียนในการบำบัด  นั่นจึงเรียกว่าการบำบัดที่สมบูรณ์  และนี่คือการงานของนักศิลปะบำบัดที่แท้จริงกล่าวในส่วนของประเทศไทย  แม้จะมีการหยิบยกศิลปะบำบัดมาพูดถึงกันอยู่บ่อยครั้ง  แต่ถ้าสังเกตและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราก็จะพบความทับซ้อนกับการศึกษาบำบัด (Curative Education) เป็นอย่างมาก  การจัดการศึกษาบำบัดเกิดขึ้นมานานกว่าหกสิบปี  โดยจัดการแก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อให้พวกเขาได้รับการพัฒนาที่สูงขึ้น  Blitz (1999) นักปรัชญาการศึกษาคนสำคัญกล่าวว่า  แนวคิดการศึกษาบำบัด และ การศึกษาพิเศษ (Special need in Education)  มีทั้งส่วนที่คล้าย และส่วนที่ต่างกัน  กล่าวคือ ทั้งสองแนวคิดเป็นการทำงานเพื่อส่งเสริมพัฒนาการแก่เด็ก ที่มีความต้องการพิเศษ และมองที่ตัวเด็กเป็นสำคัญ  แต่การศึกษาบำบัดนั้นมองเด็กต่างไปจากการศึกษาพิเศษ โดยเป็นการมองเด็กแบบองค์รวม (Holistic View) เน้นความสำคัญทั้ง ร่างกาย  จิตใจ  และจิตวิญญาณดังนั้นเอง การจัดการศึกษาบำบัดนั้น จึงมุ่งเน้นจัดกิจกรรมที่ลึกซึ้ง บนสุนทรียภาพ  เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและบริบทของสังคมนั้นๆ  เน้นวัสดุจากธรรมชาติ  เพื่อให้เป็นมิติของการบำบัดจริงๆ  กิจกรรมมีลักษณะเป็นกลุ่ม และค่อนข้างหลากหลาย อาทิเช่น การวาดภาพ  การร้อยเมล็ดพืช  การระบายสีบนดินเผา  รวมทั้งงานประดิษฐ์อื่น ๆ  ไม่ได้เน้นความเป็นปัจเจกบุคคล  หรือเฉพาะเจาะจงในกระบวนการวาด หรือกระบวนการปั้น  สิ่งที่ได้กล่าวมามีรูปแบบอยู่ในประเทศตะวันตกอย่างชัดเจนว่า คือการศึกษาบำบัด นั่นเอง


...ศิลปะบำบัดในสังคมไทย
ปัจจุบัน สังคมไทยให้ความสำคัญกับศิลปะบำบัดมากขึ้น  ซึ่งก็นับเป็นสัญญาณที่ดี  ในปีหนึ่ง ๆ มีผู้เข้ารับการบำบัดตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก  แม้ความรู้ทางวิชาการจะยังอยู่ในวงจำกัด  นักศิลปะบำบัด (Art Therapist) ที่ได้ร่ำเรียนและฝึกฝนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติมาอย่างจริงจัง ก็ยังนับว่าน้อยมาก  ซึ่งความรู้ที่ลึกซึ้งและเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ ยังจำเป็นมากต่อการบำบัด  ดังนั้น ช่วงเวลานับจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจไม่น้อยว่า  ศิลปะบำบัดในประเทศไทยจะสามารถยกระดับองค์ความรู้และศักยภาพของเรา ให้เพียงพอที่จะรับมือกับความผันผวน
และการเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนของโลกทุกวันนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
*********อ้างอิง
1. Eva Mees. Christeller,  Inge Denzinger,  Marianne Altmaiel,  Heidi Künster.  Anthroposophische  Kunsttherapie 2.  2003 : 47 – 83.
2. Rudolf Steiner.  1973.  Das Wesen der Farber.  Germany : Rudolf Steiner verlag.
3. Rudolf Steiner.  1961.  Das Kunstlerische in seiner Weltmission.  Germany : Rudolf Steiner verlag.
4. Van James.  2001.  Spirit and Art.  America : Anthroposophic Press.
5. Olaf Koob.  18  มีนาคม 2551.  ศิลปะบำบัดในมุมมองของแพทย์  ในงานปาฐกถา คุณรู้จักศิลปะบำบัดแค่ไหน  มูลนิธิอนุบาลบ้านรัก.
6. ศศิลักษณ์ ขยันกิจ.  2548.  การพัฒนากระบวนการให้การศึกษาสำหรับผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ โดยใช้แนวคิดการศึกษาบำบัดและเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง.  วิทยานิพนธ์ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต.  ภาควิชาหลักสูตรการสอนและเทคโนโลยีการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์



ศิลป์-ศิลปะ โดย Nattinun Boonreang อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย.

อยู่บนพื้นฐานของงานที่ http://5107896-art.blogspot.com/2013/08/normal-0-false-false-false-en-us-ja-th.html.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ http://5107896-art.blogspot.com/2013/08/normal-0-false-false-false-en-us-ja-th.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น